วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ประวัติ เอ็ดวาร์ด มุนช์ (Edvard Munch) จิตรกรชาวนอร์เวย์





เอ็ดวาร์ด มุนช์ (Edvard Munch) จิตรกรชาวนอร์เวย์ เกิดเมื่อปี พ.ศ.2406 ณ เมืองโลเต็น พ่อของเขาเป็นแพทย์ผู้เคร่งศาสนา ส่วนแม่เสียชีวิต เมื่อเขามีอายุเพียง 5 ขวบ หลังจากนั้นพ่อก็โศกเศร้า และแยกตัวออกจากสังคม อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.2424 มุนช์ก็ได้เข้าเรียน ที่โรงเรียนศิลปะคริสเตียเนีย แม้ว่าที่นี่จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่กลับมีงานศิลปะมากมายให้เขาศึกษา

ในปี พ.ศ.2428 มุนช์เดินทางไปที่ปารีส และกลับมายังคริสเตียเนีย พร้อมกับสร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีส และยังเป็นผลงานแนวเอ็กเพรสชั่นนิสม์ชิ้นแรก นั่นคือภาพ "เด็กหญิงป่วย" (The Sick Girl) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจ มาจากการเจ็บป่วยของพี่สาว




ต่อมาในปี พ.ศ.2432 มุนช์ได้รับทุนการศึกษา ให้ไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส ทำให้งานเขียนช่วงนี้ แสดงถึงอิทธิพลของปารีส โดยเรื่องราวส่วนใหญ่ จะเกี่ยวกับศาสนา โดยในปี พ.ศ.2435 เขาได้เปิด การแสดงผลงานเดี่ยวเป็นครั้งแรก และยังได้รับเชิญ ให้นำผลงานไปแสดงที่เยอรมัน ในครั้งนั้น ผลงานของเขา ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง จึงมีคำสั่งให้ยุติการแสดง ที่จัดขึ้นได้เพียงสัปดาห์เดียว

ในช่วงปี พ.ศ.2436 หลังจากที่อกหักจากดางี เยลล์ (Dagny Juell) นักศึกษาดนตรี ซึ่งรู้จักกันตั้งแต่ อยู่กลุ่มคริสเตียเนียโบฮีเมีย มุนช์จึงมาอาศัยอยู่ ที่นอร์เวย์ เพื่อเขียนภาพชุด "ความรัก" หนึ่งในนั้นก็คือภาพ "กู่ร้อง" (The Scream) ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ.2438 ที่กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของมุนช์ และยังทำให้เขา ค้นพบรูปแบบการแสดงออกเฉพาะตัวบนผืนผ้าใบ


จนในที่สุดมุนช์หันมาจับภาพพิมพ์ โดยคิดว่าสะดวกกว่า และสามารถเพิ่มรายได้ ให้กับตัวเอง โดยมุนช์คิดว่า ปารีสเป็นสถานที่ ซึ่งเหมาะสมที่สุด กับผลงานภาพพิมพ์ของเขา มุนช์จึงตัดสินใจเดินทางไปฝรั่งเศส และพบว่าภาพพิมพ์ไม้ และพิมพ์หิน อันมีพลังแห่งแสง และเงากับเส้นสาย ที่ห้าวหาญดูรุนแรงยิ่งกว่า โดยในปารีส เขาได้รับความชื่นชม จากเฟรดริค เดลิอุส (Freberick Delius) นักแต่งเพลงชาวอังกฤษ และสเตฟาน มาลลาร์เม่ (Stephane Mallarme) กวีสัญลักษณ์คนสำคัญของฝรั่งเศส ต่อมามุนช์ แต่งงานกับทุลลา ลาร์เซน (Tulla Larsen) นางแบบสำคัญ ในงานจิตรกรรมชุดใหญ่ ที่เรียกว่ายุค "ระบำชีวิต" (The Dance of Life) แต่แล้วก็ต้องเลิกลากันไปในปี พ.ศ.2445 โดยในปี พ.ศ.2451 มุนช์เสียสติจนต้องรักษาตัวอยู่ 6-8 เดือน จนกระทั่งหายขาดแล้ว กลับมาทำงานเหมือนเดิม จนทำให้มีชื่อเสียง และเงินทองเข้ามาในชีวิตเขามากมาย


มุนช์ชอบงานเขียนที่แสดงออกถึงพลังทางจิตวิญญาณที่ลีลับ เพราะมุนช์ชอบใคร่ครวญความคิด เขาเป็นคนที่มีหัวใจอยู่ในเงามืด มีความลึกซึ้งเกี่บงกับชีวิต ภาพวาด Vampire แสดงถึงความสิ้นหวังโดดเดี่ยว และ ความหวาดกลัว จนมีผู้คนกล่าวขวัญถึง

มุนช์เสีย ชีวิตในปี พ.ศ.2487 โดยตลอดเวลา เขาเป็นศิลปินผู้หนึ่งที่ทำงานหนัก และทุ่มเทให้กับงานศิลปะอย่างจริงจัง


ผลงานของ มุนช์ ถูกรวบรวมไว้ที่พิพิธภัณฑ์มุนช์ ในเมืองออสโล ซึ่งต่อมา ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดอยู่าง "The Scream” ได้ถูกขโมยออกไปจากพิพิธภัณฑ์ โดยกลุ่มต่อต้านการทำแท้ง ซึ่งยื่นข้อเสนอ จะคืนภาพให้ ถ้าภาพยนตร์เรื่อง “The Silent Scream” ได้ออกฉาย อย่างไรก็ตาม ทางพิพิธภัณฑ์ก็ได้ภาพกลับคืนมา เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2547 โดยภาพวาดของเอ็ดวาร์ด ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดังเดิม


วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ประวัติวันเข้าพรรษา






ประวัติวันเข้าพรรษา
ความเป็นมาของวันเข้าพรรษา ในยุคต้นพุทธกาล ก็ยังไม่มีการเข้าพรรษา เพราะฉะนั้นตลอดทั้งปี เมื่อพระภิกษุมีความเห็นว่าท่านควรจะไปเทศน์ ไปสอนญาติโยมที่ไหนได้ ท่านพอมีเวลา ท่านก็จะไป หรือไม่ได้ไปเทศน์ไปสอนใคร ถ้าเห็นว่าที่ไหนมันเงียบ มันสงัดดี เหมาะในการที่จะไปบำเพ็ญภาวนา ทำสมาธิ(Meditation)ของท่าน ท่านก็จะไป ซึ่งแน่นอน ส่วนมากก็จะอยู่ในเขตที่เป็นป่าเป็นเขา ไกลๆออกไปจากตัวเมือง หรือว่าต้องผ่านไปในชนบทนั่นเอง

     จากการที่ท่านต้องไปอย่างนี้ เนื่องจากในฤดูฝนที่เขาทำไร่ทำนากันอยู่นั้น บางครั้ง ข้าวกล้าของเขาก็เพิ่งหว่านลงไปในนา มันเพิ่งงอกออกมาใหม่ๆ บางทีก็ดูเหมือนหญ้า พระภิกษุก็เดินผ่านไป นึกว่ามันเป็นดงหญ้า ก็เลยย่ำข้าวกล้าของเขาไป ซึ่งก็ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน เขาก็มาฟ้องพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระไปย่ำข้าวของเขาที่ปลูกเอาไว้ หว่านเอาไว้ นกกาฤดูฝนมันยังอยู่กับรังของมัน พระทำไมไม่รู้จักพักบ้าง /ประวัติวันเข้าพรรษา
วันเข้าพรรษาคือตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน 8 จนถึงขึ้น 15 ค่ำเดือน 11


     เพื่อตัดปัญหานี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยทรงกำหนดให้พระภิกษุ เมื่อเข้าพรรษา หรือเมื่อเข้าฤดูฝน ให้พระอยู่กับที่ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำเดือน 8 จนกระทั่งขึ้น 15 ค่ำเดือน11 ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง ไม่ไปทำภาวนาที่ไหน ไม่ไปเทศน์โปรดใคร ถ้าใครต้องการให้โปรด ก็มาที่วัดก็แล้วกัน มาหาท่าน ไม่ใช่ท่านไปหาเขา กำหนดเป็นอย่างนี้ไป เพื่อตัดปัญหาไม่ให้ใครมาบ่นลูกของพระองค์ได้

     แต่อีกมุมมองหนึ่ง พระองค์ทรงถือโอกาสที่เกิดเป็นปัญหานี้ ได้ทรงเปลี่ยนคำครหาให้กลายเป็นโอกาสดีของพระภิกษุว่า ถ้าอย่างนั้นพระภิกษุอยู่เป็นที่ในวัดวาอาราม เพื่อที่จะให้พระใหม่ได้รับการอบรมจากพระเก่าได้เต็มที่ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ในการอบรมถ่ายทอดศีลธรรม ถ่ายทอดธรรมวินัยให้แก่กันและกันนั้น ถ้าทำอย่างต่อเนื่อง ทำเป็นที่เป็นทางต่อเนื่องกันทุกวันทุกวัน อย่างนี้จะเป็นการดี การศึกษาธรรมะอย่างต่อเนื่องมีผลดี

วันเข้าพรรษา 

ลูกผู้ชายบวชให้ได้อย่างน้อย 1 พรรษา

พระภิกษุต้องอยู่วัดช่วงเข้าพรรษา

     เพราะฉะนั้น พระองค์ก็เลยทรงกำหนดขึ้นมาว่า ให้พระภิกษุอยู่กับที่ในช่วงเข้าพรรษาอยู่ในวัด แล้วพระใหม่ก็ศึกษาหรือรับการถ่ายทอดธรรมะจากพระเก่า ส่วนพระเก่าก็ทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ด้วย คือ สอนพระใหม่

    เท่านั้นยังไม่พอ พระเก่าก็วางแผน กำหนดแผนการเลยว่าเมื่อออกพรรษาแล้ว ควรจะเดินทางไปโปรดที่ไหน นั่นก็อย่างหนึ่ง อีกทั้งปรับปรุงหลักสูตรวิธีการเทศน์การสอน การอบรมให้เหมาะกับท้องถิ่น ให้เหมาะกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป เป็นต้น /ประวัติวันเข้าพรรษา

ช่วงเข้าพรรษาพระใหม่ก็จะได้รับการถ่ายทอดธรรมะจากพระเก่า

ช่วงเข้าพรรษาพระใหม่ก็ศึกษาธรรมะจากพระเก่า
พระเก่าก็ทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์สอนพระใหม่

ดังนี้ การเข้าพรรษาจึงเป็นการดีทั้งประชาชน ดีทั้งพระเก่า พระใหม่ ไปในตัวเสร็จ

กิจวัตรของพระภิกษุในฤดูเข้าพรรษา
     ทีนี้กิจวัตรของพระภิกษุในฤดูเข้าพรรษา ว่าที่จริงก็ทำนองเดียวกันกับออกพรรษา เพียงแต่ว่าเมื่อไม่ได้ออกไปนอกพื้นที่ พระภิกษุจึงมีโอกาสดังต่อไปนี้

     ตัวท่านเองนั้น ก็มีโอกาสที่จะทำภาวนาของท่าน มีโอกาสที่จะปรับปรุงหลักสูตรของท่าน มีโอกาสที่จะค้นคว้าพระไตรปิฎกให้ยิ่งๆ ขึ้นไป อันนี้ก็เป็นเรื่องราวในปัจจุบันนี้ กิจวัตรในปัจจุบันของพระ เราก็ทำอย่างนี้

เจริญภาวนาในช่วงเข้าพรรษา


ในช่วงเข้าพรรษานี้พระภิกษุสงฆ์จะได้มีโอกาส
หาความรู้จากพระไตรปิฎกให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

     ยิ่งกว่านั้น ถ้าเราไปตามวัดต่างๆ ในขณะนี้ ในฤดูเข้าพรรษานี้ เนื่องจากเราก็นิยมบวชกัน จะบวชชั่วคราวแค่พรรษาก็ตาม หรือจะบวชระยะยาวก็ตาม ในเมื่อพอเข้าพรรษาแล้ว พระเก่าพระใหม่ต้องอยู่ที่เดียวกัน พระเก่าทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ ใครถนัดวิชาไหนก็มาสอนวิชานั้นให้แก่พระภิกษุใหม่ ใครถนัดพระวินัยก็สอนพระวินัย ใครถนัดสอนนักธรรมหรือธรรมะก็สอนธรรมะ ใครถนัดสอนพุทธประวัติก็สอนพุทธประวัติ เป็นต้น

--------------------------------------

วันเข้าพรรษามีกิจกรรมให้ ประชาชนทั่วๆไปปฏิบัติ
เช่น ผู้หญิงก็บวชอุบาสกาแก้ว ผู้ชายก็บวชพระเข้าพรรษา

     ฝ่ายหญิงถือว่ามีความสำคัญมากเช่นกัน สังเกตดูวัดแต่ละแห่งมีผู้หญิงเข้าวัดมากกว่าผู้ชายเพราะฉะนั้นฝ่ายหญิงคือกำลังสนับสนุนที่สำคัญโดยเฉลี่ยผู้หญิงทำบุญตักบาตรมากกว่าผู้ชาย ขยันขันแข็งกว่า ไปวัดมากกว่า ถึงคราววันพระวันโกน บางทีไปค้างที่วัดเลย ไปรักษาศีล 8 ไปถืออุโบสถศีล และฟังเทศน์ฟังธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ
             
     สมัยโบราณ ใครต้องการจะฝึกฝีมือเรื่องอะไรต้องไปที่วัด เช่น สาวๆ ที่จะให้มีเสน่ห์ปลายจวัก ทำกับข้าวเก่ง ต้องไปเข้าโรงครัวของวัด สุดยอดฝีมือแม่ครัวของทั้งชุมชนอยู่ที่วัด เพราะแม่บ้านแต่ละบ้านใครเก่งเรื่องอะไรมาโชว์ฝีมือสุดๆ กันที่วัดเลย ใครอยากจะฝึกเรื่องอะไรไปฝึกที่วัด ไปเป็นลูกมือให้เขาก่อน ทำไปๆ เดี๋ยวก็เก่ง เพราะฉะนั้น ใครจะไปฝึกแกะสลักผลไม้ หรือจะทำอะไรงามๆ ถวายวัด ต้องไปฝึกที่วัด
             
     ฝ่ายหญิงจึงเป็นฝ่ายที่มีความสำคัญ มีคำๆ หนึ่งกล่าวถึงความสำคัญของผู้หญิงเอาไว้ เป็น ภาษาบาลี คือ คำว่า “อิตฺถีสทฺโท” อิตฺถี แปลว่า หญิง สทฺโท แปลว่า เสียง มีความหมายว่า เสียงของหญิงดังเสมอ อย่างเช่น ถ้าผู้หญิงนิยมสิ่งใด ผู้ชายจะปรับตัวตาม ถ้าผู้หญิงบอกว่า “เธอยังไม่บวช ยังไม่เป็นทิด ฉันไม่แต่ง” อย่างนี้แระแสการทำความดี กระแสการบวชเกิดขึ้นเลย ถ้าประสานกันทั้งชายทั้งหญิงแล้วละก็ ทุกคนจะมีส่วนช่วยในการทำให้ครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศชาติ สงบร่มเย็น ทั้งหมด เจริญพร

     *ปัจจุบันพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ดำริให้มีโครงการบวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อนขึ้นเพื่อให้ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสบวชฝึกตนเอง ด้วยการรักษาศีล 8 นั่งสมาธิ ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและวัฒนธรรมชาวพุทธเนื่องจากท่านเล็กเห็นความสำคัญของสตรีที่มีต่อครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และพระพุทธศาสนา
---------------------------------
 ประเพณีแห่เทียนพรรษา


           ประเพณีนี้คงเกิดขึ้นจากความจำเป็นที่ว่าสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้กันดังปัจจุบัน เมื่อพระสงฆ์จำพรรษารวมกันมาก ๆก็จำต้องปฏิบัติกิจวัตรเช่น การทำวัตรสวดมนต์เช้ามืดและตอนพลบค่ำ การศึกษาพระปริยัติธรรมกิจกรรมเหล่านี้ล้วนต้องการแสงสว่างโดยเฉพาะ แสงสว่างจากเทียนที่พระสงฆ์จุดบูชาพระรัตนตรัยและเพื่อต้องการใช้แสงสว่างโดยตรงด้วยเหตุนี้พุทธศาสนิกชนจึงนิยมหล่อเทียนต้นใหญ่ กะว่าจะจุดได้ตลอดเวลา ๓ เดือนไปถวายพระภิกษุในวัดใกล้ ๆบ้านเป็นพุทธบูชา เทียนดังกล่าวเรียกว่า เทียนจำนำพรรษา
           ก่อนจะนำเทียนไปถวายนี้ ชาวบ้านมักจัดเป็นขบวนแห่แหนกันไปอย่างเอิกเกริกสนุกสนานเรียกว่าประเพณีแห่เทียนจำนำพรรษาดังขอสรุปเนื้อหาจากหนังสือนางนพมาศ ดังนี้

           เมื่อถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ทั้งทหารบกและทหารเรือก็จัดขบวนแห่เทียนจำนำพรรษา ทั้งใส่คานหาบไปและลงเรือประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำประดับธงทิว ตีกลอง เป่าแตรสังข์ แห่ไป ครั้นถึงพระอารามแล้วก็ยกต้นเทียนนั้นเข้าไปถวายในพระอุโบสถหอพระธรรม และพระวิหารจุดตามให้สว่างไสวในที่นั้นๆ ตลอด ๓ เดือน ดังนี้ทุกพระอาราม

           ในวัดราษฎร์ทั้งหลาย ก็มีพิธีทำนองนี้ทั่วพระราชอาณาจักร ปัจจุบัน ประเพณีแห่เทียนจำนำพรรษานี้ยังถือปฏิบัติกันอยู่ทั่วไป บางจังหวัด เช่น อุบลราชธานี ถือให้เป็นประเพณีเด่นประจำจังหวัดตนได้จัดประดับตกแต่งต้นเทียนใหญ่ๆ มีการประกวดแข่งขันแล้วแห่แหน ไปถวายตามวัดต่าง ๆ

 ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน

           การถวายผ้าอาบน้ำฝนนี้ เกิดขึ้นแต่สมัยพุทธกาล คือ มหาอุบาสิกา ชื่อว่า วิสาขาได้ทูลของพระบรมพุทธานุญาตให้พระสงฆ์ ได้มีผ้าอาบน้ำสำหรับผลัดเปลี่ยนเวลาสรงน้ำฝนระหว่างฤดูฝน นางวิสาขาจึงเป็นสตรีคนแรกที่ได้ถวายผ้าอาบน้ำฝนแด่พระสงฆ์

           ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงวันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชน ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยราชธานี จึงนิยมนำผ้าอาบน้ำฝนไปถวายผ้าอาบน้ำฝนถวายพระสงฆ์ผู้จะอยู่พรรษา พร้อมกับอาหารและเครื่องใช้ที่จำเป็นต่าง ๆ

           แม้ในปัจจุบัน พุทธศาสนิกชนไทยก็คงยังปฏิบัติกิจกรรม อย่างนี้อยู่บางวัดมีการแจกฎีกานัดเวลา ประกอบพิธีถวายผ้าอาบน้ำฝน (วัสสิกสาฎก) หรือ ผ้าจำนำพรรษาและเครื่องใช้อื่นๆ ณ ศาลาบำเพ็ญกุศลของวัดใกล้บ้าน

อานิสงส์แห่งการจำพรรษา

         เมื่อพระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนได้ปวารณาแล้ว ย่อมจะได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา ๕ อย่าง ตลอด ๑ เดือนนับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป คือ

          ๑. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ปาจิตตีย์กัณฑ์
          ๒. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
          ๓. ฉันคณะโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้
          ๔. เก็บอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา
          ๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของพวกเธอ

          และยังได้โอกาสเพื่อที่จะกราลกฐิน และได้รับอานิสงส์พรรษาทั้ง ๕ ขึ้นนั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ในฤดูหนาว คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ไปจนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ อีกด้วย  งานเสริมทำออนไลด์ผ่าน net 100% 5 หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ ขอย้ำว่าขั้นต่ำ

ประวัติวันเข้าพรรษา และความเป็นมาของวันเข้าพรรษา

๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า

           เมื่อครั้งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ วัด เวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นคือ พวกชาวบ้าน กลุ่มหนึ่งพากันกล่าวตำหนิพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาว่า ช่างไม่รู้จักกาลเวลาเสียเลยพากันจาริกไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งแม้ในระหว่างฤดูฝนบางครั้งก็ไปเหยียบข้าวกล้าของชาวนาเสียหาย ขณะที่พวกนิครนถ์ นักบวชในศาสนาอื่นและฝูงนกยังหยุดพักผ่อนไม่ท่องเที่ยงไปในฤดูฝนเช่นนี้ เรื่องนี้ทราบถึงพระพุทธเจ้าในกาลต่อมา พระองค์จึงทรงรับสั่งให้พระสงฆ์ประชุมพร้อมกันตรัสถามจนได้ความเป็นจริงแล้วจึงทรงบัญญัติเรื่องการเข้าพรรษาไว้ว่า

           อนุชานามิ ภิกขะเว อุปะคันตุง    แปลว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้พวกเธออยู่จำพรรษา"

          พระสงฆ์ที่เข้าจำนำพรรษาแล้วจะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้ แต่หากมีกรณีจำเป็น 4 ประการต่อไปนี้ ภิกษุผู้อยู่พรรษาสามารถไปค้างที่อื่นได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษา แต่ต้องกลับมาภายในระยะเวลา 7 วัน คือ
1. ไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย
2. ไประงับไม่ให้ภิกษุสึก
3. ไปเพื่อธุระของสงฆ์
4. ทายกนิมนต์ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขา

           วันเข้าพรรษานี้โดยทั่วไปกำหนดในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เรียกว่า วันเข้าพรรษา (ปุริมพรรษา) ถ้าปีใดเป็นปีอธิกมาส มีเดือน ๘ สองหน ก็เลื่อนไปเข้าพรรษา ในวันแรม๑ ค่ำ เดือน ๘ หลัง ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นไม่สามารถเข้าพรรษาได้ก็เลื่อนเข้าพรรษา ในแรม ๑ ค่ำเดือน ๙ ก็ได้ ไปสิ้นสุดเอาวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน๑๒ เรียกว่า วันเข้าพรรษาหลัง (ปัจฉิมพรรษา)

---
 การถือปฏิบัติวันเข้าพรรษาในประเทศไทย 

           สมัยก่อนประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม จะเริ่มทำไร่ทำนาปักดำข้าวกล้าก่อนพรรษากาลพอ พระสงฆ์เข้าพรรษาก็จะเสร็จงานในไร่นา ย่อมมีเวลาว่างมาก ประกอบกับการคมนาคมไปมาระหว่างสถานที่ต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยสะดวก เนื่องจากฝนตกชุกและน้ำขึ้นเจิ่งนอง เต็มแม่น้ำลำคลองทั่วไปชาวบ้านจึงถือโอกาสเข้าวัดถวายทาน รักษาศีล ฟังธรรมและเจริญภาวนาเพิ่มพูนบุญกุศลกันมากขึ้น

           ดังนั้นเมื่อถึงวันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชนก็จะพากันหาอาหารทั้งคาวหวาน ผลไม้ และเครื่องอุปโภคที่จำเป็นแก่สมณะนำไปถวายพระภิกษุสงฆ์ใกล้บ้านตน พระภิกษุสงฆ์แนะนำสั่งสอนให้เกิด ศรัทธาในการปฏิบัติ ตามหลักทานศีลและภาวนา และความไม่ประมาทในการประกอบคุณความดีอื่น ๆ

           ตามประวัติศาสตร์ พุทธศาสนิกชนชาวไทย ได้เริ่มบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษานี้ ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ดังข้อความในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชว่า

           "พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ทั้งชาวแม่ชาวเจ้า ทั้งท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขันทั้งสิ้นทั้งหลายทั้งหญิงทั้งชายฝูงท่วยมีศรัทธาในพุทธศาสน์ มักทรงศีล เมื่อพรรษาทุกคน"

           นอกจากการรักษาศีลแล้ว พุทธศาสนิกชนไทย ในสมัยสุโขทัยนั้นยังได้บำเพ็ญกุศลอื่น ๆดังรายละเอียดปรากฎอยู่ในหนังสือ นางนพมาศ พอสรุปได้ดังนี้ 

           เมื่อถึงเดือน ๘ ก็มีพระราชพิธีอาษาฒมาส พระภิกษุสงฆ์ทุกรูป จะได้เข้าจำพรรษา ในพระอารามต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งให้จัดแจงเสนาสนะถวาย พร้อมทั้งบริขารอันควรแก่สมณะบริโภค เช่น เตียงตั่ง เสื่อสาด ผ้าจำนำพรรษา อาหารหวานคาวยารักษาโรค และธูปเทียนจำนำพรรษา เพื่อบูชาพระรัตนตรัยในพระอารามหลวงทั่วราชอาณาจักร แม้ชาวเมืองสุโขทัย ก็บำเพ็ญกุศลเช่นนี้ในวัดประจำตระกูลของตน 


ประเพณีตักรบาตรดอกไม้ในวันเข้าพรรษา

     การตักบาตรดอกไม้ เดิมทีเดียวได้มีเรื่องราวในสมัยพุทธกาลของนายสุมนมาลาการที่ได้ถวายดอกมะลิ แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องราวมีอยู่ว่า       ในกรุงราชคฤห์มีช่างจัดดอกไม้คนหนึ่ง ชื่อ "สุมนะ" ทุกๆ เช้า เขาจะนำดอกมะลิ 8 ทะนาน ไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร และจะได้ทรัพย์มาเป็นค่าดอกไม้วันละ 8 กหาปณะเป็นประจำ วันหนึ่ง ขณะที่เขาถือดอกไม้จะนำไปถวายพระราชา พระบรมศาสดาเสด็จมาบิณฑบาต พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์จำนวนมาก พระพุทธองค์ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีออกจากพระวรกาย นายสุมนะเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธามาก อยากจะถวายดอกมะลิทั้ง 8 ทะนาน ที่ถืออยู่ในมือ เพื่อเป็นพุทธบูชา       เขาคิดว่า "ถ้าหากพระราชาไม่ได้รับดอกไม้เหล่านี้ในวันนี้ เราอาจจะถูกประหาร หรือถูกเนรเทศออกจากแว่นแคว้นก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะ  เพราะถึงพระราชาจะทรงอนุเคราะห์เรา ด้วยการพระราชทานทรัพย์เป็นค่าดอกไม้ ก็คงพอเลี้ยงชีวิตได้แค่ในภพชาตินี้เท่านั้น แต่การบูชาพระบรมศาสดาด้วยดอกไม้เหล่านี้ จะทำให้เราได้รับความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า" 

    เขาคิดอย่างนี้แล้วก็ตัดสินใจสละชีวิต โปรยดอกไม้ทั้ง   8 ทะนาน บูชาพระบรมศาสดาทันที ทันใดนั้น สิ่งอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น คือ ดอกมะลิทั้ง 8 ทะนาน ไม่ได้ตกถึงพื้นดินเลย ดอกมะลิ 2 ทะนาน ได้กลายเป็นเพดานดอกไม้ แผ่อยู่เหนือพระเศียรของพระบรมศาสดา อีก 2 ทะนาน แผ่เป็นกำแพงดอกไม้ลอยอยู่ข้างขวา และ 2 ทะนานอยู่ข้างซ้าย  ส่วนอีก 2 ทะนาน อยู่ข้างหลัง กำแพงดอกไม้ทั้งหมดนี้ ลอยไปพร้อมกับพระบรมศาสดา เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระดำเนิน กำแพงดอกมะลิทั้งหมดก็ลอยตามไป เมื่อประทับยืน กำแพงดอกมะลิก็หยุดอยู่กับที่เหมือนกัน
 นายสุมนะเห็นดังนั้น เกิดความปีติปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบเรื่อง แทนที่จะลงโทษกลับชื่นชมและปูนบำเหน็บรางวัลทำให้นายมาลาการมีชีวิตที่สุขสบายขึ้น เพราะเหตุนี้ ได้มีประเพณีตักบาตรเข้าพรรษาของไทยที่ได้สืบทอดมานาน และเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี โดยมีการใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งในการใส่บาตรเรียกว่า 
---------------

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2559

D.ZENITH









พื้นฐานของเส้น และแสงเงา

ในปัจจุบันศิลปะได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะ
จิตกรรม,ประติมากรรม,สถาปัตยกรรม และการออกแบบดีไซน์
ศิลปะทุกสาขาที่กล่าวมาถ้าเราไม่มีพื้นฐานการวาดเส้นมาก่อนหรือวาดเส้นไม่ดีนั้น
งานศิลปะที่เราได้สร้างสรรค์ก็จะไม่มีความสวยงาม และไม่ได้สัดส่วนถูกต้องเพราะศิลปะ
ทุกสาขาต้องอาศัยการร่างเส้นก่อนทั้งนั้น วันนี้จึงอยากเสนอเรื่องของพื้นฐานการวาดเส้น

การวาดเส้น ( Drawing ) 
คือ การเขียนเส้นด้วยวัสดุต่างๆ แบบง่ายๆและ
รวดเร็ว มีลักษณะเป็นเส้นเพื่อสื่อความหมายทางด้านความคิด และจินตนาการของมนุษย์ในพื้นฐานของศิลปะในแต่ละแขนง เช่น

ในด้านจิตรกรรม,ประติมากรรม,และสถาปัตยกรรม การวาดเส้นจึงมีความสำคัญมากในงานศิลปะ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการวาดเส้น1. ดินสอดำ Graphite สำหรับวาดเส้นใครใช้ 5B จนถึง EE ขนาดต่ำกว่านี้จะทำให้ภาพเกิดความมันเลื่อม
สะท้อนทำให้ภาพดูไม่ชัดเจน
2. ปากกาหมึกซึม
 มีปลายแหลมเป็นโลหะแบ่งเป็นชนิดบรรจุหมึกในตัวและใช้จุ่มกับหมึก3. ปากกาหมึกแห้ง สะดวกในการใช้งาน ขนาดเส้นเท่ากันตลอดเหมาะสำหรับวาดภาพเล็ก4. คาร์บอน ( ดินสอถ่าน ) คุณสมบัติเช่นเดียวกับ เกรยอง และชาโคลเพียงแต่เป็นรูปแบบดินสอ
5. แท่งถ่าน มี 2 ประเภท คือ 1. เกรยอง ( conte crayon ) 2. ชาโคล ( charcoal )6. กระดานสำหรับรองวาด จะมีขนาดประมาณ 14X61 ซม. จะเท่ากับกระดาษขนาด A2
7. กระดาษสำหรับวาด ควรใช้กระดาษอาร์การ์ด เพราะเนื้อกระดาษไม่มีขุยสามารถลบได้หลายครั้ง8. ยางลบ ควรใช้ชนิดอ่อนเพราะจะได้ไม่ทำลายกระดาษมาก
9. มีดคัตเตอร์และกระดาษทราย ใช้ในการเหลาดินสอ กระดาษทรายใช้ฝนให้ปลายดินสอมีความแหลมมากๆการใช้ดินสอวัดสัดส่วน
สัดส่วนเป็นสิ่งสำคัญมากในการวาดรูป หากวัดสัดส่วนไม่ชำนาญผลก็จะทำให้รูปที่วาดออกมาผิดเพี้ยนได้การวัดสัดส่วน
สำหรับผู้ที่เริ่มต้นใหม่นั้นมีวิธีง่ายๆ ในการวัดโดย ใช้ดินสอ สายตา มือ วัดขนาด ให้ได้ระดับความกว้าง ความยาว ความสูง
หัดวัดจนชำนาญ
วิธีการวัดสัดส่วน1. จับดินสอที่ใช้เขียนรูปยื่นออกไปให้สุด ตั้งฉากหรือขนานกับพื้น
2. ใช้นิ้วหัวแม่มือเลื่อนขึ้นเลื่อนลง เพื่อวัดขนาดรูปทรงที่จะวาดวัดความสูง ความกว้าง ความยาว แล้วเทียบกับขนาดกับรูปทรงใกล้เคียง
3. นำขนาดสัดส่วนที่วัดมาเทียบลงบนกระดาษ อาจจะย่อหรือขยายจากแบบจริง แต่ต้องให้ได้ขนาดสัดส่วนตามการวัด ฝึกหัดให้ชำนาญ
และแม่นยำ จนสามารถใช้สายตาวัดขนาดได้




แบบเส้นต่างๆ
ก่อนลงมือเขียนรูปขั้นตอนแรกให้หัดเขียนเส้นตรง เส้นนอน เส้นเฉียง จากซ้ายไปขวา จากขวาไปซ้าย ซ้ำๆกันให้คล่องมือ หลังจากนั้นก็ให้
หัดแรเงาโดยใช้เส้นต่างๆ ให้คล่องทั้งเฉียงขึ้นเฉียงลง

การขึ้นโครงสร้างด้วยเส้นแกน
- เส้นแกน
เส้นเป็นแกนของทุกสิ่งบนโลกทั้งมีชีวิติและไม่มีชีวิต ถ้าจับเส้นแกนได้ก้เท่ากับว่าน้องๆจะสามารถเขียนภาพได้ดี และรวดเร็ว
เส้นแกนเป็นฐานการขึ้นโครงของหุ่นทุกแบบ
- เส้นรอบนอก ( outline )
เป็นเส้นรอบนอกของเส้นแกนใช้เพื่อกำหนดรูปทรงของวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่จะวาด
น้ำหนักแสงเงา
น้ำหนักแสงเงาเกิดจากแสงที่ไปกระทบกับวัตถุในระดับต่างๆกัน ทำให้วัตถุดูเป็นมิติ

มนุษย์สามารถมองเห็นได้ก็เพราะมีแสง เมื่อแสงกระทบไปสู่สิ่งของแล้วกระทบเข้าที่ตาและถ่ายทอดไปที่สมอง
ทำให้เราสามารถมองเห็นได้ และสะท้อนจากวัดถุมีค่าความเข้มอ่อนแตกต่างกัน ตามลำดับ เราเรียกลำดับแสงเงานี้ว่า น้ำหนัก


ลักษณะของแสงเงา
1. แสงสว่างที่สุด HIGHLIGHT เป็นส่วนที่ได้รับแสงโดยตรง มีความสว่างมาก
2. แสงสว่าง LIGHT อยู่ในส่วนอิทธิพลของแสง มีน้ำหนักเทา
3. เงา SHADOW เป็นส่วนอยู่ตรงที่ได้รับแสงน้อยมาก มีน้ำหนักเกือบดำ
4. เงามืด CORE OF SHADOW เป็นส่วนที่ไม่ได้รับแสงเลย
5. เงาสะท้อน REFLELECED LIGHT เป็นส่วนที่ไม่ได้รับแสงโดยตรง แต่เป็นการสะท้อนกลับจากวัตถุ
ใกล้เคียง
6. เงาตกทอด CAST SHADOW เป็นบริเวณที่เงาของวัตถุตกทอดไปตามพื้น

D.ZENITH





CPU 
คือ
อ่ะไร
วะ โด้ !!




CPU หรือ Central Processing Unit คือหัวใจหลักในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์จึงขาดซีพียูไม่ได้ ซีพียู เป็นตัวควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ต่อพ่วงที่ต่อร่วมกับคอมพิวเตอร์

 กลไกการทำงานของซีพียู มีความสลับซับซ้อน ผู้พัฒนาซีพียูได้สร้างกลไกให้ทำงานได้ดีขึ้น โดยแบ่งการทำงานเป็นส่วน ๆ มีการทำงานแบบขนาน และทำงานเหลื่อมกันเพื่อให้ทำงานได้เร็วขึ้น









ชนิดของ CPU 
ชนิดของ CPU มี 2 ชนิดคือ แบบซ็อเก็ต และ แบบสล็อต
 แบบที่ 1 ช็อคเก็ต ( Socket )
CPU ประเภทนี้จะบรรจุในรูปแบบของสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำด้วยพลานสติกหรือเซรามิก  หากมองจากด้านบน CPU จะพบตัวอักษรที่เป็นรายละเอียดต่างๆไม่ว่าจะเป็น ยี่ห้อ ความเร็ว ค่าแรงไฟ ค่าตัวคูณ และอีกหลายๆอย่าง
Image
แบบที่ 2 แบบสล็อต
CPU มีการพัฒนาออกมาแบบแหวกแนว มีลักษณะเป็นแผ่นวงจรลี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ มีพลาสติกสีดำ ห่อหุ้มไว้เป็นตลับ
ความแตกต่างของ ซ็อคเก็ตและสล็อตแบบซ็อคเก็ตคือ ซ็อคเก็ตจะอยู่ในตลับและถูกครอบด้วยพัดลมเพื่อระบายความร้อน
แบบสล็อตคือ จะเป็นแผ่นพลาสติกบางๆประกบกันและจะเสียบ CPU ลงไปอีกทีหนึ่ง
ชนิดของซีพียูที่แบ่งตามจำนวนของแกนการประมวลผล
แกนเดี่ยว    ลักษณะเป็นซีพียูที่มีแกนประมวลผลเพียงแกนเดียวอยู่ในชิป
หลายแกน   ลักษณะเปรียบเสมือนมีซีพียู 2 ตัว เพื่อช่วยกันทำงาน
ซีพียูแบบแกนคู่   ลักษณะเป็นซีพียูที่มีแกนประมวลผล 2 แกนอยู่ในชิปตัวเดียวกัน

ซีพียูแบบสามแกน  ลักษณะเป็นซีพียูที่มีแกนประมวลผล 3 แกนอยู่ในชิปอันเดียวกัน

ซีพียูแบบสี่แกน  ลักษณะเป็นซีพียูที่มีแกนประมวลผล 4 แกน โดยแต่ละเเกนจะแยกการทำงานกันอย่างอิสระเพิ่มขี้นถึง 4 เท่า
หลักการทำงานของ CPU
 มีหน่วยสำคัญอยู่  2  หลักการคือ
  1. หน่วยควบคุม
        คือ  เป็นหน่วยที่ทำหน้าที่ประสานงานและควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ควบคุมให้อุปกรณ์รับข้อมูล ส่งข้อมูลไปที่หน่วยความจำ ติดต่อกับอุปกรณ์แสดงผลเพื่อสั่งให้นำข้อมูลจากหน่วยความจำไปยังอุปกรณ์แสดงผล
 2. หน่วยคำนวณและตรรกะ
        คือ  เป็นหน่วยที่ทำหน้าที่ในการคำนวณต่างๆทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ บวก  ลบ  คูณ  หาร
หลักการทำงานของ CPUโดยวงรอบของการทำคำสั่งของซีพียูประกอบด้วยขั้นตอนการทำงานพื้นฐาน 4 ขั้นตอนดังนี้
        1. ขั้นตอนการรับเข้าข้อมูล  ( fatch )เริ่มแรกหน่วยควบคุมรับรหัสคำสั่งและข้อมูลที่จะประมวลผลจากหน่วยความจำ
        2. ขั้นตอนการถอดรหัส ( decode )
เมื่อรหัสคำสั่งเข้ามาอยู่ในซีพียูแล้ว หน่วยควบคุมจะถอดรหัสคำสั่งแล้วส่งคำสั่งและข้อมูลไปยังหน่วยคำนวณและตรรกะ
        3. ขั้นตอนการทำงาน ( execute )
หน่วยคำนวณและตรรกะทำการคำนวณโดยใช้ข้อมูลที่ได้รับการถอดรหัสคำสั่ง และทราบแล้วว่าต้องการทำอะไร ซีพียูก็จะทำตามคำสั่งนั้น
        4. ขั้นตอนการเก็บ ( store )
หลังจากทำคำสั่ง ก็จะเก็บผลลัพธ์ที่ได้ไว้ในหน่วยความจำ






อ่ะ !! เฮื่อๆ อธิบายเกี่ยวกับ ซีพียู Intel Pentium กับ พวก Core ต่างๆให้ฟังหน่อย เฮียรี่ !





อธิบายแบบง่ายๆคือเหมือน



CPU i7 ก็คือการทำงานของคน ระดับด๊อกเตอร์ 4 คน ที่มีด๊อกเตอร์เป็น ผู้ช่วยอยู่ด้วย เหมือนกับ เป็นการทำงานของคนระดับต๊อกเตอร์ 8 คน 



CPU i5 ก็คือการทำงานของคน ระดับด๊อกเตอร์ 4 คน ที่มีไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วย เหมือนกับ เป็นการทำงานของคนระดับต๊อกเตอร์ 4 คน 



CPU i3 ก็คือการทำงานของคน ระดับด๊อกเตอร์แค่ 2 คน ที่ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วย เหมือนกับ เป็นการทำงานของคนระดับต๊อกเตอร์ 2 คน น่ะ


CPU Pentium-G นั้น ก็คือการทำงานของคน ระดับ ป.โท 2 คน ที่ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วย เหมือนกับ เป็นการทำงานของคนระดับ ป.โท 2 คน เท่านั้น

CPU Celeron-G นั้น ก็คือการทำงานของคน ระดับ ป.ตรี 2 คน ที่ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วย เหมือนกับ เป็นการทำงานของคนระดับ ป.ตรี แค่ 2 คน